ว่ากันตามหลักสรีรวิทยาแล้ว “เยื่อพรหมจารีย์” เจ้าแผ่นเนื้อบางๆ ที่ติดตัวผู้หญิงเกือบทุกคนมาแต่กำเนิด นั่นคือบางคนมี บางคนไม่มี แผ่นเนื้อนี้จะมีช่องเปิด 1 ช่องหรือมากกว่านั้น เพื่อให้ประจำเดือนไหลผ่านได้
เด็กหญิงหลายคนเมื่อโตเป็นสาวแล้ว ประจำเดือนไม่สามารถออกมาได้ เพราะไม่มีช่องเปิดของเยื่อพรหมจรรย์ที่ว่านี้ จนต้องไปพบสูติแพทย์ ซึ่งแม้ว่ากันด้วยเรื่องสรีรวิทยาแล้ว เราแทบจะไม่ทราบเลยว่าเจ้าสิ่งนี้มันมีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกาย หลายคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของมันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวเจ้าของเอง เพราะบางครั้งกว่าจะรู้ว่ามีอยู่ มันก็หายไปแล้ว ถ้าจะว่ากันไปดูแล้วมันเหมือนเป็นส่วนเกินที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เหมือนๆ กับไส้ติ่งหนะสิ
“พรหมจรรย์” คำๆ นี้มีความหมายอย่างไรในใจคุณ คำๆ นี้นั้นถ้าแปลกันตามตัวอักษรแล้วหมายถึง “ความประพฤติอันสะอาดบริสุทธิ์” (ไม่ได้นับรวมความหมายในแง่ศาสนา)
ซึ่งแน่นอนครับหมายรวมความทั้งสามด้าน นั่นคือ กาย วาจา ใจ การประพฤติพรหมจรรย์นั้น มิได้จำกัดแคบอยู่แค่ในวงการนักบวชทั้งหลายเท่านั้น แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็เป็นการสมควรที่จะส่งเสริมให้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่นั่นเป็นแค่การมองแค่ในกรอบๆ แคบๆ เพียงเรื่องเพศสัมพันธ์แค่เรื่องเดียว นั่นคือ มีกับคู่ของตนที่ผ่านพิธีการแต่งงานเท่านั้น แต่ก็เป็นแค่มาตรฐานที่ใช้เคร่งครัดกับผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว
ในยุคพระราชินีวิคตอเรีย (ค.ศ.1817-1901) เป็นยุคที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องค่านิยม ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นอย่างมาก ในยุคนี้ถือว่าผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเทียบได้กับทารก ผู้ชายต่างหากที่มีกามตัณหา เกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าผู้หญิงนั้นต้องอยู่แต่ในบ้านทำหน้าที่ภรรยา แม่บ้าน เวลาออกไปข้างนอกก็ต้องสวมเสี้อผ้ามิดชิด คลุมถึงคอ ปิดแขน และกระโปรงสุ่มยาวถึงตาตุ่ม ด้วยความที่ต้องการให้สังคมเป็นสังคมในอุดมคติ ซึ่งยังลามปามไปถึงการคลุมขาโต๊ะ หรือแม้การห้ามเอ่ยถึงอกไก่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งถือว่าไม่สุภาพ สิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะเกิดขึ้นในอังกฤษดินแดนไกลโพ้น และกาลเวลาผ่านมาร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้กลับยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไทย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“แพท” หญิงสาวชื่อฝรั่งสัญชาติไทยแท้วัยเบญจเพศ ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถไม่เป็นสองรองใคร ในวัยเด็กแพทเกิดและเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่นรักใคร่กลมเกลียว ตั้งแต่เป็นเด็กแพทมักได้รับคำสั่งสอนแบบที่ผู้ใหญ่ไทยสอนเด็กผู้หญิงทุกอย่าง ทั้งเรื่องกิริยามารยาท การแต่งกาย การพูดจา ตำราสอนหญิงหลายเล่ม ผ่านการถ่ายทอดจากปากผู้ใหญ่ในบ้านถึงเรื่องความเป็นกุลธิดา และเมื่อแพทเข้าสู่วัยรุ่น และเริ่มคบเพื่อนต่างเพศ ทางบ้านก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็จะคอยสอนถึงเรื่องความเป็นกุลสตรีรักนวลสงวนตัว
ตอนนี้แพทกับคนรักคบกันได้ 5 ปีแล้วแต่ทั้งคู่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน วันหนึ่งคนรักของเธอก็ขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะฝ่ายชายให้เหตุผลว่าอย่างไรวันหนึ่งเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว ถ้าจะมีอะไรกันกับคนที่เรารัก จะก่อนแต่งหรือหลังแต่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ลองมาดูว่าทางเลือกของแพทวันนั้นเป็นอย่างไร
ไม่หรอกไม่ได้เด็ดขาด เรื่องแบบนี้เราต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจสิ เรียนหนังสือมาก็เยอะ เห็นตัวอย่างมาก็แยะผู้ชายหนะเขาไม่อยากแต่งงานกับคนที่ง่ายกับเขาหรอก ต่อให้คบกันมาหลายปีก็เถอะ พอบทจะเลิกก็เลิกกันง่ายๆ เขาหาใหม่ได้ไม่ยาก ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชายนะ ถึงไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเกิดคนที่บ้านรู้เรื่องเข้าเขาจะเสียใจกันแค่ไหน แล้วถ้าเพื่อนในออฟฟิศรู้อีกหละจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาจะมองเราเป็นผู้หญิงใจง่ายหรือเปล่า พนักงานผู้ชายในบริษัทคงจะไปพูดกันทั่ว เราจะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่ยังไงมันก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ดี แล้วถ้าเกิดท้องขึ้นมา หรือ เกิดติดโรคจะทำอย่างไร
นั่นเป็นความคิดขัดแย้งกันสองด้านในสมองเธอ มีเรื่องให้คิดเยอะนะครับสำหรับผู้หญิงไทย เมื่อจะตัดสินใจมีอะไรกับใครสักคน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของเราเองแท้ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องของธรรมเนียมปฎิบัติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แล้วถ้าเป็นตัวคุณผู้อ่านเองหละครับคิดอย่างไร? เธอควรยินยอมพร้อมใจมีเซ็กส์กับแฟนเธอหรือไม่ หรือเธอควรรอให้ถึงวันแต่งงานก่อนดี มีเหตุผลอะไรอีกบ้างที่แพทจำเป็นต้องมีก่อนการตัดสินใจ
ความนับถือในตนเอง
เหล่านี้เป็นสิ่งที่หญิงสาวมักจะขาดไป หรือละเลยไปเพราะไม่เคยคิดเคยสร้าง โดยเฉพาะกับเรื่องเพศ แท้ที่จริงแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราต้องศึกษาหาความรู้ และรู้เท่าทัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดประโยคที่ว่า ฉันไม่สามารถทัดทานได้ หรือว่าอารมณ์มันพาไป หรือฉันกลัวว่าเขาจะเลิกกับฉัน เขาจะไม่รักฉันแล้ว ฯลฯ ประโยคอะไรทำนองนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เจ้าตัวคิด โดยการตั้งค่าตนเองผ่านสายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าเรื่องอื่นๆ จะไม่เป็นแต่กับเรื่องเพศ ดูไร้เดียงสาขึ้นมาซะอย่างงั้น สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องคิดให้ดีคือ ตัวเราเองอยากมีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า รับผิดชอบตัวเองได้หรือเปล่า เผื่อว่าเกิดรักมันไม่ราบรื่นเรารับมือกับปัญหาได้ดีแค่ไหน ลองคิดลองไตร่ตรองให้ดี แล้วค่อยตัดสินใจ บางครั้งการตัดสินใจของเรามันอาจจะต้องขัดแย้งกับใครบ้าง แต่เราก็อย่าปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินอนาคตชีวิตของเรา ทำให้ดูเหมือนขาดทางเลือกโดยเด็ดขาด
รักแล้วต้องรอได้
อันนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะว่าให้รอไปถึงวันแต่งงานอย่างเดียวนะ แต่เป็นการบอกฝ่ายชายให้รอไปก่อนจนกว่าฝ่ายหญิงจะได้ชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสีย และยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริงที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
การรอเท่ากับเป็นการให้เกียรติในการตัดสินใจของฝ่ายหญิง เป็นการรับฟังความคิดเห็นและรับผิดชอบถึงการกระทำที่กำลังจะกระทำร่วมกัน มันก็เหมือนเรากำลังทำโปรเจคกับบัดดี้ แต่นี่ไม่ใช่โปรเจคก่อนจบการศึกษา แต่เป็นโปรเจคชีวิตที่จะช่วยให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไป
เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าคงได้ข้อคิดดีๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่มีใครผิดใคร
ถูกหรอกนะครับ เพราะมันแล้วแต่ความเชื่อในแต่ละยุคแต่ละสมัย คำสอนของยุคใดสมัยใด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ดีที่สุดของยุคนั้นเสมอ บางครั้งวิธีการบอกกล่าวหรือการสอนอาจจะเหมาะกับคนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน สำหรับคนยุคนี้ ยุคแห่งเสรีภาพทางความคิด ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารไร้พรหมแดน การสอนให้คนคิดและรับผิดชอบตัวเองได้ก่อน คงจะดีกว่าสอนให้เชื่อตามๆ กันนะครับ และเมื่อเราคิดออก คิดได้ คิดตกแล้ว ก็จะพร้อมรับและมั่นใจกับการตัดสินใจและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
จริงอย่างที่ฝ่ายชายว่านั่นแหละ คบกันมาตั้งหลายปี และตัวแพทเองก็บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเองได้แล้ว อีกอย่างการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานของคนสมัยนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีข้อห้าม หรือข้อผิดกฏหมายตรงไหน สิ่งเหล่านี้คนทั่วไปสมัยนี้เขาก็ปฏิบัติกัน พรหมจรรย์ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย ผู้ใหญ่เขาก็เตือนด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าถ้าเกิดท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่แหมยุคนี้แล้วผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดมีขายออกเกลื่อนเมือง สบายอยู่แล้ว มามีอะไรกับเราดีกว่าปล่อยไปซุกซนเดี๋ยวติดโรคมาละยุ่งเลย
ว่ากันตามหลักสรีรวิทยาแล้ว “เยื่อพรหมจารีย์” เจ้าแผ่นเนื้อบางๆ ที่ติดตัวผู้หญิงเกือบทุกคนมาแต่กำเนิด นั่นคือบางคนมี บางคนไม่มี แผ่นเนื้อนี้จะมีช่องเปิด 1 ช่องหรือมากกว่านั้น เพื่อให้ประจำเดือนไหลผ่านได้
เด็กหญิงหลายคนเมื่อโตเป็นสาวแล้ว ประจำเดือนไม่สามารถออกมาได้ เพราะไม่มีช่องเปิดของเยื่อพรหมจรรย์ที่ว่านี้ จนต้องไปพบสูติแพทย์ ซึ่งแม้ว่ากันด้วยเรื่องสรีรวิทยาแล้ว เราแทบจะไม่ทราบเลยว่าเจ้าสิ่งนี้มันมีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกาย หลายคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของมันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวเจ้าของเอง เพราะบางครั้งกว่าจะรู้ว่ามีอยู่ มันก็หายไปแล้ว ถ้าจะว่ากันไปดูแล้วมันเหมือนเป็นส่วนเกินที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เหมือนๆ กับไส้ติ่งหนะสิ
“พรหมจรรย์” คำๆ นี้มีความหมายอย่างไรในใจคุณ คำๆ นี้นั้นถ้าแปลกันตามตัวอักษรแล้วหมายถึง “ความประพฤติอันสะอาดบริสุทธิ์” (ไม่ได้นับรวมความหมายในแง่ศาสนา)
ซึ่งแน่นอนครับหมายรวมความทั้งสามด้าน นั่นคือ กาย วาจา ใจ การประพฤติพรหมจรรย์นั้น มิได้จำกัดแคบอยู่แค่ในวงการนักบวชทั้งหลายเท่านั้น แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็เป็นการสมควรที่จะส่งเสริมให้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่นั่นเป็นแค่การมองแค่ในกรอบๆ แคบๆ เพียงเรื่องเพศสัมพันธ์แค่เรื่องเดียว นั่นคือ มีกับคู่ของตนที่ผ่านพิธีการแต่งงานเท่านั้น แต่ก็เป็นแค่มาตรฐานที่ใช้เคร่งครัดกับผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว
ในยุคพระราชินีวิคตอเรีย (ค.ศ.1817-1901) เป็นยุคที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องค่านิยม ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นอย่างมาก ในยุคนี้ถือว่าผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเทียบได้กับทารก ผู้ชายต่างหากที่มีกามตัณหา เกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าผู้หญิงนั้นต้องอยู่แต่ในบ้านทำหน้าที่ภรรยา แม่บ้าน เวลาออกไปข้างนอกก็ต้องสวมเสี้อผ้ามิดชิด คลุมถึงคอ ปิดแขน และกระโปรงสุ่มยาวถึงตาตุ่ม ด้วยความที่ต้องการให้สังคมเป็นสังคมในอุดมคติ ซึ่งยังลามปามไปถึงการคลุมขาโต๊ะ หรือแม้การห้ามเอ่ยถึงอกไก่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งถือว่าไม่สุภาพ สิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะเกิดขึ้นในอังกฤษดินแดนไกลโพ้น และกาลเวลาผ่านมาร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้กลับยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไทย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“แพท” หญิงสาวชื่อฝรั่งสัญชาติไทยแท้วัยเบญจเพศ ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถไม่เป็นสองรองใคร ในวัยเด็กแพทเกิดและเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่นรักใคร่กลมเกลียว ตั้งแต่เป็นเด็กแพทมักได้รับคำสั่งสอนแบบที่ผู้ใหญ่ไทยสอนเด็กผู้หญิงทุกอย่าง ทั้งเรื่องกิริยามารยาท การแต่งกาย การพูดจา ตำราสอนหญิงหลายเล่ม ผ่านการถ่ายทอดจากปากผู้ใหญ่ในบ้านถึงเรื่องความเป็นกุลธิดา และเมื่อแพทเข้าสู่วัยรุ่น และเริ่มคบเพื่อนต่างเพศ ทางบ้านก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็จะคอยสอนถึงเรื่องความเป็นกุลสตรีรักนวลสงวนตัว
ตอนนี้แพทกับคนรักคบกันได้ 5 ปีแล้วแต่ทั้งคู่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน วันหนึ่งคนรักของเธอก็ขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะฝ่ายชายให้เหตุผลว่าอย่างไรวันหนึ่งเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว ถ้าจะมีอะไรกันกับคนที่เรารัก จะก่อนแต่งหรือหลังแต่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ลองมาดูว่าทางเลือกของแพทวันนั้นเป็นอย่างไร
ไม่หรอกไม่ได้เด็ดขาด เรื่องแบบนี้เราต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจสิ เรียนหนังสือมาก็เยอะ เห็นตัวอย่างมาก็แยะผู้ชายหนะเขาไม่อยากแต่งงานกับคนที่ง่ายกับเขาหรอก ต่อให้คบกันมาหลายปีก็เถอะ พอบทจะเลิกก็เลิกกันง่ายๆ เขาหาใหม่ได้ไม่ยาก ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชายนะ ถึงไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเกิดคนที่บ้านรู้เรื่องเข้าเขาจะเสียใจกันแค่ไหน แล้วถ้าเพื่อนในออฟฟิศรู้อีกหละจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาจะมองเราเป็นผู้หญิงใจง่ายหรือเปล่า พนักงานผู้ชายในบริษัทคงจะไปพูดกันทั่ว เราจะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่ยังไงมันก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ดี แล้วถ้าเกิดท้องขึ้นมา หรือ เกิดติดโรคจะทำอย่างไร
นั่นเป็นความคิดขัดแย้งกันสองด้านในสมองเธอ มีเรื่องให้คิดเยอะนะครับสำหรับผู้หญิงไทย เมื่อจะตัดสินใจมีอะไรกับใครสักคน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของเราเองแท้ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องของธรรมเนียมปฎิบัติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แล้วถ้าเป็นตัวคุณผู้อ่านเองหละครับคิดอย่างไร? เธอควรยินยอมพร้อมใจมีเซ็กส์กับแฟนเธอหรือไม่ หรือเธอควรรอให้ถึงวันแต่งงานก่อนดี มีเหตุผลอะไรอีกบ้างที่แพทจำเป็นต้องมีก่อนการตัดสินใจ
ความนับถือในตนเอง
เหล่านี้เป็นสิ่งที่หญิงสาวมักจะขาดไป หรือละเลยไปเพราะไม่เคยคิดเคยสร้าง โดยเฉพาะกับเรื่องเพศ แท้ที่จริงแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราต้องศึกษาหาความรู้ และรู้เท่าทัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดประโยคที่ว่า ฉันไม่สามารถทัดทานได้ หรือว่าอารมณ์มันพาไป หรือฉันกลัวว่าเขาจะเลิกกับฉัน เขาจะไม่รักฉันแล้ว ฯลฯ ประโยคอะไรทำนองนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เจ้าตัวคิด โดยการตั้งค่าตนเองผ่านสายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าเรื่องอื่นๆ จะไม่เป็นแต่กับเรื่องเพศ ดูไร้เดียงสาขึ้นมาซะอย่างงั้น สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องคิดให้ดีคือ ตัวเราเองอยากมีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า รับผิดชอบตัวเองได้หรือเปล่า เผื่อว่าเกิดรักมันไม่ราบรื่นเรารับมือกับปัญหาได้ดีแค่ไหน ลองคิดลองไตร่ตรองให้ดี แล้วค่อยตัดสินใจ บางครั้งการตัดสินใจของเรามันอาจจะต้องขัดแย้งกับใครบ้าง แต่เราก็อย่าปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินอนาคตชีวิตของเรา ทำให้ดูเหมือนขาดทางเลือกโดยเด็ดขาด
รักแล้วต้องรอได้
อันนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะว่าให้รอไปถึงวันแต่งงานอย่างเดียวนะ แต่เป็นการบอกฝ่ายชายให้รอไปก่อนจนกว่าฝ่ายหญิงจะได้ชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสีย และยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริงที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
การรอเท่ากับเป็นการให้เกียรติในการตัดสินใจของฝ่ายหญิง เป็นการรับฟังความคิดเห็นและรับผิดชอบถึงการกระทำที่กำลังจะกระทำร่วมกัน มันก็เหมือนเรากำลังทำโปรเจคกับบัดดี้ แต่นี่ไม่ใช่โปรเจคก่อนจบการศึกษา แต่เป็นโปรเจคชีวิตที่จะช่วยให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไป
เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าคงได้ข้อคิดดีๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่มีใครผิดใคร
ถูกหรอกนะครับ เพราะมันแล้วแต่ความเชื่อในแต่ละยุคแต่ละสมัย คำสอนของยุคใดสมัยใด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ดีที่สุดของยุคนั้นเสมอ บางครั้งวิธีการบอกกล่าวหรือการสอนอาจจะเหมาะกับคนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน สำหรับคนยุคนี้ ยุคแห่งเสรีภาพทางความคิด ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารไร้พรหมแดน การสอนให้คนคิดและรับผิดชอบตัวเองได้ก่อน คงจะดีกว่าสอนให้เชื่อตามๆ กันนะครับ และเมื่อเราคิดออก คิดได้ คิดตกแล้ว ก็จะพร้อมรับและมั่นใจกับการตัดสินใจและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
จริงอย่างที่ฝ่ายชายว่านั่นแหละ คบกันมาตั้งหลายปี และตัวแพทเองก็บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเองได้แล้ว อีกอย่างการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานของคนสมัยนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีข้อห้าม หรือข้อผิดกฏหมายตรงไหน สิ่งเหล่านี้คนทั่วไปสมัยนี้เขาก็ปฏิบัติกัน พรหมจรรย์ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย ผู้ใหญ่เขาก็เตือนด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าถ้าเกิดท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่แหมยุคนี้แล้วผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดมีขายออกเกลื่อนเมือง สบายอยู่แล้ว มามีอะไรกับเราดีกว่าปล่อยไปซุกซนเดี๋ยวติดโรคมาละยุ่งเลย
No comments:
Post a Comment